เราคือข้าวโพด !!!
แชร์
192
email-subscribers
domain was triggered too early. This is usually an indicator for some code in the plugin or theme running too early. Translations should be loaded at the init
action or later. Please see Debugging in WordPress for more information. (This message was added in version 6.7.0.) in /home4-ns1sg/food/domains/food4change.in.th/public_html/wp-includes/functions.php on line 6114jetpack-boost
domain was triggered too early. This is usually an indicator for some code in the plugin or theme running too early. Translations should be loaded at the init
action or later. Please see Debugging in WordPress for more information. (This message was added in version 6.7.0.) in /home4-ns1sg/food/domains/food4change.in.th/public_html/wp-includes/functions.php on line 6114แชร์
192
192
ถ้าหากเรากินแบบอุตสาหกรรม ตัวคุณก็สร้างมาจากข้าวโพด คำกล่าวในหนังสือของ Michel Pollan ที่สืบย้อนที่มาที่ไปของอาหารนับหมื่นรายการในสหรัฐ ได้เริ่มต้นจากเกษตรอุตสาหกรรมข้าวโพดแทบทั้งหมด อาจกล่าวได้ว่าชะตาชีวิตชาวอเมริกันแขวนอยู่บนข้าวโพด และอาจเป็นไปได้ว่าไทยกำลังก้าวสู่เส้นทางเดียวกันนี้
You are what you eat? คุณเป็นสิ่งที่คุณกิน (นั่นแหละ) ประโยคนี้คงเป็นที่คุ้นเคยกันดีในบรรดาผู้ใส่ใจเรื่องอาหารการกินทั้งหลาย แต่คุณทราบหรือไม่ล่ะว่าอาหารที่คุณกินเข้าไปแต่ละอย่างนั้นล้วนแล้วแต่มี ที่มาจากข้าวโพด
Michel Pollan สืบย้อนประวัติอาหารนับสี่หมื่นห้าพันรายการ ซึ่งเป็นจำนวนของรายการอาหารโดยเฉลี่ยที่มีอยู่ซุปเปอร์มาเก็ตในประเทศสหรัฐ อเมริกา เขาพบว่าอาหารเหล่านั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากข้าวโพด ข้าวโพดเป็นอาหารของวัวก่อนจะมาเป็นสเต็กในจานหรู เป็นอาหารของไก่ หมู ไก่งวง แกะ ปลาดุก แซลมอน ฯลฯ ผลิตภัณฑ์จากวัว ไม่วาจะเป็นน้ำนม ชีส หรือโยเกิร์ต ก็มาจากวัวที่กินข้าวโพดเป็นอาหาร แม้แต่ไข่ไก่ก็ออกมาจากไก่ที่เลี้ยงด้วยข้าวโพดเช่นกัน
ครั้นเมื่อคว้าเบียร์มาดื่ม คุณก็กำลังดื่มข้าวโพดในรูปแบบของแอลกอฮอล์ที่หมักจากกลูโคสที่มาจากข้าวโพด ถ้าอ่านส่วนผสมในฉลากของกระบวนการผลิตอาหาร คุณก็จะเห็นชื่อทางเคมีของสารต่างๆ ที่มาจากข้าวโพด? (หน้า 18)
นักเขียนและนักวิชาการประจำ Berkley Graduate School of Journalism ท่านนี้เขียนบทความจำนวนมากมายและหนังสือหลายเล่มเพื่อตั้งข้อสังเกตต่อ อาหารและวัฒนธรรมการกินในโลกยุคอุตสาหกรรม หนังสือเล่มหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางชื่อว่า The Omnivore?s Dilemma: A Natural History of Four Meals (2006) กระตุ้นเตือนให้สัตว์ประเภทที่กินไม่เลือกอย่างมนุษย์เราได้สำรวจตรวจตรา สิ่งที่เรียกว่า ?อาหาร? ที่กินเข้าไปในแต่ละมื้ออีกสักที
เขาใช้แนวการวิเคราะห์แบบการวิเคราะห์เครือข่าย (network approach) สืบสาว food chains หรือห่วงโซ่ของอาหารแต่ละชนิด ว่าต้นสายของมันมาจากที่ใด ก่อนที่จะมาวางอยู่บนโต๊ะอาหารในจานหรู แน่นอนอาหารทุกอย่างล้วนมาจากผืนดิน หรือจะพูดให้ถูกก็มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ก่อนจะกลายมาเป็นอาหารจำนวนไม่กี่ชนิดที่เราบริโภคกันแบบซ้ำๆ ซากๆ โปแลนวิเคราะห์ห่วงโซ่อาหารผ่านมุมมองทางนิเวศวิทยาและมานุษยวิทยาผสมผสาน กับประสบการณ์ส่วนตัวของตนเอง
โปแลนบอกว่าอาหารที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ผลิตขึ้นมาจากองค์ประกอบหลักเพียงสองสิ่งคือข้าวโพดและน้ำมัน ผู้ที่เขียนถึงหนังสือเล่มนี้บอกว่าหากพิจารณาดูดีๆ เราอาจพบว่าตัวเองกำลังนั่งกินปิโตรเลี่ยมรสเยี่ยมชามโตอยู่ก็ได้ เพราะแทบทุกสิ่งที่เรากินนั้นมาจากพลังงานฟอสซิล น้ำมันที่เราบริโภคมาจากจากปุ๋ยที่เราใช้บำรุงต้นพืช มาจากยาฆ่าแมลงที่กำจัดแมลงออกไปจากต้นพืช และมาจากพลังงานที่ใช้ในการขนส่งอาหารข้ามประเทศโดยทางรถไฟ ทางรถบรรทุก หรือยานพาหนะอื่นๆ และการใช้พลาสติกบรรจุหีบห่อ ?We’re addicted to oil, and we really like to eat? เรากำลังเสพติดน้ำมัน และพวกเราก็ชอบกินจริงๆ ด้วยสิ1
ในโลกปัจจุบันอะไรๆ ก็ผลิตโดยผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม เกษตรอุตสาหกรรม ปศุสัตว์ก็ทำกันเป็นอุตสาหกรรม และการผลิตอาหารก็ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรมด้วยเช่นกัน โปแลนพบว่าอาหารต่างๆ ของคนในเมืองที่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรมเหล่านี้มักใช้ข้าวโพดเป็นวัตถุดิบ ขั้นต้น หรือกล่าวง่ายๆ ก็คืออาหารอันหลากหลายที่เรารู้จักล้วนแต่มีรากมาจากพืชที่มาจากสปีชีส์ เดียวกันก็คือ Zea mays ซึ่งก็คือพืชในกลุ่มตระกูลข้าวโพดนั่นเอง
If you eat industrially, you are made of corn? ถ้าคุณกินแบบอุตสาหกรรม ตัวคุณก็สร้างขึ้นมาจากข้าวโพด ร่างกายคุณเองเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานจากฟอสซิลซึ่งใช้ผลิตไนโตรเจนในรูปของ ปุ๋ยเคมี แทนไนโตรเจนที่เคยเกิดขึ้นในดินตามธรรมชาติจากการปลูกพืชหมุนเวียน2
โปแลนบอกว่าข้าวโพดมีอัตลักษณ์สองด้าน (dual identity) ด้านหนึ่งเป็นอาหาร และอีกด้านหนึ่งเป็นสินค้า ซึ่งทำให้เกษตรกรสามารถที่จะขยับจากระบบการผลิตเพื่อยังชีพเข้าสู่ระบบ เศรษฐกิจแบบตลาดได้ หากมองในแง่การตลาดเขาชี้ว่าข้าวโพดเป็นเครื่องมือในการสะสมทุนที่ยอดเยี่ยม เพราะผลผลิตสามารถส่งไปยังตลาดได้โดยให้ส่วนเกินในอัตราใดก็ได้ เมล็ดข้าวโพดแห้งเป็นสินค้าที่ดีเพราะขนส่งง่ายและไม่เสียหายในระหว่างการขน ส่ง
ด้วยเหตุนี้ข้าวโพดจึงกลายเป็นสินค้าการเกษตรที่สำคัญชนิดหนึ่งของโลก ในตลาดการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ระดับโลกประเทศสหรัฐอเมริกาครองส่วนแบ่งการ ตลาดมากที่สุดถึง 38% ของการผลิตทั่วโลก ทำให้ราคาข้าวโพดในตลาดโลกได้รับอิทธิพลจากราคากลางที่กำหนดในตลาดชิคาโก องค์การอาหารและการเกษตรหรือเอฟเอโอคาดการณ์ไว้ว่าภายในปี 2020 สหรัฐอเมริกาจะสามารถครอบงำตลาดธัญญาหารของโลกไม่ว่าจะเป็นข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าวสาลี ซึ่งจะส่งมาขายยังประเทศกำลังพัฒนา
ในประเทศไทย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นหนึ่งในแปดของสินค้าการเกษตรที่สำคัญของประเทศ ในปี 2550 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 5,969,608 ไร่ และมีผลผลิต 3,602,124 ตัน แต่ในปีปัจจุบันจากข่าวคราวการประท้วงของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในภาคเหนือ และภาคอีสานก็คงพอจะเดากันออกว่าปริมาณผลผลิตข้าวโพดคงมากขึ้นอย่างท่วมท้น ทั้งจากการขยายพื้นที่การผลิตในประเทศเอง และจากการรับซื้อมาจากประเทศเพื่อนบ้านตามโครงการความร่วมมือพิเศษภายใต้ ชื่อยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (2546-2555) ที่รัฐบาลไทยร่วมมือกับบรรษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่อย่างซีพีและรัฐบาลของประเทศ เพื่อนบ้าน ไปส่งเสริมการปลูกข้าวโพดด้วยระบบเกษตรแบบพันธะสัญญาในหลายประเทศเช่นลาว พม่า กัมพูชา โดยมีโควตาลดภาษีนำเข้าข้าวโพดเมื่อรับซื้อเข้ามายังประเทศไทย
การส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่การผลิตข้าวโพดยังเกิดขึ้นใน บ้านเราเองด้วย เช่น ในปี 2549-2550 ซีพีร่วมมือกับหน่วยงานราชการหลายแห่งส่งเสริมการปลูกข้าวโพดหลังนา แทนการปลูกข้าวนาปรัง โดยอ้างว่าเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ในฤดูแล้งโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการเผชิญปัญหาภัยแล้ง
การส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเหล่านี้ก็เกิดมาจากความต้อง การข้าวโพดที่สูงขึ้นในตลาดโลก เนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจการผลิตอาหารสัตว์ และการบูมของธุรกิจการผลิตไบโอดีเซลที่ใช้วัตถุดิบจากข้าวโพดมาทำเอธิล แอลกอฮอล์ กระบวนการอุตสาหกรรมและกลไกการตลาดเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องอื่นใด นอกจากกำไรที่บรรดานักธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตรทั้งหลายได้ดีดลูกคิดรางแก้ว คำนวณผลตอบแทนล่วงหน้ากันไว้แล้ว
แล้วสำหรับผู้บริโภคข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทางอ้อมอย่างเราๆ ท่านๆ ล่ะ ทราบถึงเส้นสายโยงใยของห่วงโซ่อาหารและผลประโยชน์ทางธุรกิจเหล่านี้หรือไม่ ได้เคยฉุกคิดกันบ้างหรือเปล่าว่าที่กินเข้าไปนั้นที่แท้มันคือข้าวโพด
โปแลนบอกว่าวิธีที่เรากินนั้นสะท้อนถึงการที่เราเข้าไป เกี่ยวพันกับโลกธรรมชาติ การกินอาหารของพวกเราในทุกๆ วันก็คือการเปลี่ยนธรรมชาติมาเป็นวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของโลกให้มาเป็นร่างกายและจิตใจของเรา ?Daily, our eating turns nature into culture, transforming the body of the world into our bodies and minds? (หน้า 10) และการเกษตรแท้ที่จริงแล้วก็ใช่ใช่สิ่งอื่นใดที่มนุษย์ทำมากไปกว่าการ เปลี่ยนแปลงโลกธรรมชาติ ทั้งในแง่ภูมิทัศน์และส่วนประกอบของพืชพันธุ์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นอกจากนั้นการกินของพวกเราก็คือเป็นการจัดความสัมพันธ์กับสปีชีส์มากมายทั้ง พืช สัตว์ และเชื้อรา ซึ่งเราเข้าไปเกี่ยวพันและชะตาชีวิตของพวกเราก็ขึ้นผูกโยงอยู่กับสิ่งเหล่า นี้อย่างแนบแน่น
คุณพอใจแค่ไหนล่ะกับความสัมพันธ์ของคุณกับโลกธรรมชาติที่เป็นอยู่ ซึ่งถูกจัดปรับผ่านกระบวนการกินของคุณ
คุณชอบไหมล่ะที่ชะตากรรมของคุณได้ถูกแขวนไว้กับสปีชีส์Zea mays
อ้างอิงจาก :