บ้านๆแบรนด์

“ม่วงแต้เน้อ” มะม่วงแท้ ๆ จากบ้านขุนแจ๋ เชียงใหม่

แชร์

336

336

หมู่บ้านขุนแจ๋ ตำบลแม่แวน อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่มีประชากรราว ๆ  200 หลังคาเรือน อาชีพเพาะปลูกพืชผักผลไม้เมืองหนาวและมีการปลูกมะม่วง สายพันธุ์มหาชนก สายพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองเป็นหลัก จะปลูกเสริมด้วย สายพันธุ์ปาล์มเมอร์  อาร์ทู และ จินหวง  รวม ๆ แล้วมีการปลูกมะม่วงมากกว่า 500,000 ต้น

ธนกร แสนลี่ ชื่อเล่น จีน คือคนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านขุนแจ๋ ครอบครัวของเขาก็มีอาชีพเช่นเดียวกันกับคนในหมู่บ้าน คือปลูกผักส่งให้กับโครงการหลวงแม่ปูนหลวง (หน่วยสามลี่) และปลูกผลผลไม้เมืองหนาวชนิดต่าง ๆ ที่สำคัญก็มีการทำสวนมะม่วงควบคู่ไปด้วย  บ้านขุนแจ๋ มีการปลูกมะม่วง  80 % ของหมู่บ้าน มะม่วงส่วนใหญ่จะส่งไปขายต่างประเทศ ปริมาณการส่งออก 100 ตันต่อปี  สายพันุ์ของมะม่วงที่ส่งออกไปขายต่างประเทศคือ มะม่วงสายพันธุ์มหาชนก และ สายพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง เพราะเป็นที่ต้องการของตลาด

ธนกร เขาคือลูกครึ่งระหว่าง จีน-กับชาติพันธุ์ลีซอ ในหมู่บ้านมีการสอนภาษาจีนด้วยธนากร จึงสามารถสื่อสารภาษาจีนได้ ด้วยภาษานำทางทำให้เขาเคยไปขายแรงงานที่ประเทศไต้หวันกินค่าแรงเดือนละ 30,000 บาท อยู่ต่างแดนนานสองปี เขาก็ต้องกลับบ้านเกิดเพราะติดคัดเลือกทหาร และการกลับบ้านหลังปลดทหารคือจุดเริ่มต้นของการสานต่อการปลูกพืชเมืองหนาวของครอบครัวเต็มตัว ด้วยการปลูกผลไม้เมืองหนาวหลากหลายชนิดพร้อม ๆ กับการทำตลาดทางออนไลน์ และคิดต่อยอดการแปรรูปมะม่วงตกเกรดที่มีอยู่จำนวนมากในชุมชน  

ธนากร เล่าว่าเขาจะใช้ต้นตอของมะม่วงแก้วขมิ้นเพราะมีรากแก้วแล้วหาอาหารได้เก่ง หลังจากนั้นประมาณ 2 ปี ผมก็จะเอาพันธุ์มะม่วงที่ตลาดต้องการสูงราคาดีมาเสียบยอด  ในพื้นที่บ้านขุนแจ๋ อากาศหนาวกว่าที่อื่น จึงทำให้มะม่วงเจริญเติบโตได้ช้า หลังจากเสียบยอดได้ 3 ปี ถึงจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิต หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วต้องแต่งกิ่งทุกปี

ด้วยอากาศที่หนาวเย็นทำให้มะม่วงโตช้าแต่นั่นไม่ใช่ข้อเสีย เพราะการที่สภาพอากาศเย็นทำให้มะม่วงบ้านขุนแจ๋  จะออกผลผลิตช้ากว่าที่อื่น ๆ ส่งผลให้มะม่วงมีราคาสูงกว่าพื้นที่ปลูกปกติถึง 3 เท่าตัว  ปีนี้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองบ้านขุนแจ๋ ราคาอยู่ที่ กิโลกรัมละ 120 บาท ขณะที่พื้นที่ปลูกปกติ ราคามะม่วงจะอยู่ที่ 35 บาท ต่อกิโลกรัม

แม้มะม่วง เมืองหนาวในหมู่บ้านขุนแจ๋ จะมีราคาสูงแต่ก็มีมะม่วงจำนวนมากที่ขายไม่ได้เพราะมะม่วงสุกงอมเกินไปและจะเกิดความเสียหายในระหว่างขนส่งไปขายต่อ มะม่วงใกล้สุกหรือผลไม่สวยก็ไม่สามารถนำไปขายได้ ชาวสวนก็นำไปเททิ้งข้างทาง หรือไม่ก็นำไปใช้ในการเลี้ยงสัตว์

ธนกร จึงมองว่ามะม่วงตกเกรดในแต่ระปีจะถูกทิ้งจำนวนมาก เขาคิดว่าน่าจะมีวิธีการเพิ่มมูลค่าให้กับมะม่วงประเภทนี้ ธนกร จึงหาข้อมูลวิธีนำมะม่วงสุกไปแปรรูป จากอินเตอร์เน็ต และจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ  เท่าที่หาได้ กระทั่งได้ข้อสรุปและทดลองนำมะม่วงมาอบแห้ง ด้วยวิธีธรรมชาติ  ภายใต้ชื่อ “มะม่วง แต้ เน้อ” 

ธนากร เขามีอาชีพเป็นนายหน้าติดต่อซื้อมะม่วงในหมู่บ้านอยู่แล้วจึง เข้าถึงมะม่วงได้แทบทุกสวนที่มีอยู่ในชุมชน เขาจะขอซื้อมะม่วงที่ชาวบ้านจะคัดทิ้งในราคาถูก แล้วนำมะม่วงล้างทพำความสะอาด ก่อนจะบ่มในที่ร่ม เพื่อให้มะม่วงสุกจนงอมได้ที่เพื่อให้มะม่วงเกิดหวานเองตามธรรมชาติ  จากนั้นจะนำมะม่วงมาล้างน้ำทำความสะอาดอีกรอบ นำมาปอกเปลือกให้เหลือแต่เนื้อมะม่วงสีเหลืองทอง  จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตามขนาดที่ต้องการ เรียงใส่ตะแกง แล้วเอาเข้าตู้อบโดยไม่ปรุงรสหรือใส่วสารกันบูด เมื่ออบจนได้ระยะเวลา ก็จะนำมะม่วงมาคัดชิ้นที่ไม่สวยออก จากนั้นจึงบรรจุถุง พร้อมส่งขายได้เลย

“เมื่อก่อนอบมะม่วงเสร็จผลก็ใส่ถุงตามตลาดที่หาซื้อมา ไม่มีโล่โก้ไม่มีอะไร ผมก็ส่งไปให้ลูกค้าตามสภาพ กระทั่งมีคนรู้จักชักชวนให้เข้าร่วมเรียนรู้ packaging ของไบโอไทย ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยทางไบโอไทยจะมีนักออกแบบมืออาชีพมาออก packaging ให้ครับ ซึ่งผมก็คิดว่า packaging มีความสำคัญไม่แพ้ตัวสินค้าเพราะคนจะซื้อหรือไม่ก็อยู่ที่ บรรจุภัณฑ์ที่ต้องมีความน่าสนใจ สามารถติดต่อย้อนหลังกลับมาที่ต้นทางที่ผลิตได้ ซึ่งอนาคตผมจะคิด ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดคุณค่าทั้งตัวสินค้าและบรรจุภัณฑ์ครับ” ธนากร

วันนี้การเพาะปลูกพืชผักผลไม้เมืองหนาว ในพื้นที่หมู่บ้านขุนแจ๋ ยังคงเป็นเกษตรเคมีซะส่วนใหญ่ ธนากร เองเขาก็ยังไม่หันมาปลูกแบบอินทรีย์ 100% แต่อยู่ในช่วงศึกษาเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนวิถีการทำเกษตร เขามองว่าตลาดของพืชผลทางการเกษตรแบบปลอดสารเคมียังแคบ เพราะการสนับสนุนจากรัฐบาลมีน้อยเกินไป แม้ว่าปัจจุบันช่องทางการขายผลผลิตจะเปิดกว้างมากขึ้นจากโลกออนไลน์ แต่ผู้ซื้อก็ยังจำกัดอยู่เฉพาะวงแคบ ๆ การจะให้เกษตรกรหาตลาดเองเป็นเรื่องยากเพราะลำพังการเพาะปลูกก็ถือเป็นงานที่ยุ่งยากพอสมควรแล้ว แต่เขาเองก็จะพยายามเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ทำเกษตรอินทรีย์ แล้วสามารถขายผลผลิตได้มีตลาดรองรับ เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ของตัวเองให้เป็นแปลงอินทรีย์ 100% ให้ได้ในอนาคต    

ขณะเดียวกันด้วย ธนากร ที่สามารถอ่านเขียนภาษาจีนได้เขามองไปถึงอนาคต หากสินค้ามีคนสนใจจำนวนมาก ก็อาจจะยกระดับทำการส่งออกมะม่วงอบแห้งที่มีกระบวนการผลิตแบบอินทรีย์ ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกไปจนถึงการแปรรูป ภายใต้ชื่อ “มะม่วง แต้ เน้อ”  ของตัวเองไปขายที่ประเทศจีนและอื่น ๆ พร้อมกับสร้างงานให้กับคนในชุมชนไปด้วย 

เรื่องโดย

กินเปลี่ยนโลก ทีม

ทีมงานที่ร่วมสร้างวิถีแห่งการกิน เพื่อการเปลี่ยนแปลงโลก เรากินทุกวัน เราเปลี่ยนโลกทุกวัน